ห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อำเภอด่านช้าง ...ยินดีต้อนรับ...

ประวัติความเป็นมา

ความเป็นมา


ห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อำเภอด่านช้าง ตั้งอยู่ที่ตำบล หนองมะค่าโมง อำเภอด่านช้าง สำหรับ อำเภอด่านช้างนั้น ในอดีต เดิมอยู่ที่บ้านหนองปลาดุก อำเภอเดิมบางนางบวช โดยมีตำนาน เล่าว่ามีโขลงช้างมากินน้ำ และเล่นน้ำ ที่ลำห้วยกระเสียว เรียกว่า "บ้านด่านช้าง" ต่อมาตั้งเป็นกิ่งอำเภอด่านช้าง แยกออกมาจาก อำเภอเดิมบางนางบวช เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2517  ได้ยกฐานะ เป็นอำเภอด่านช้าง เมื่อวันที่ 13 กรกฏาคม 2524 เดิมอำเภอ ด่านช้างใช้อาคาร ชั่วคราวเป็นที่ทำการห้องสมุดประชาชนให้บริการ ทางการศึกษา แก่ประชาชนในพื้นที่ แต่เนื่องจากอาคารไม่เป็น เอกเทศและคับแคบไม่สามารถให้บริการได้เพียงพอ นายดิน จันทร์สุวรรณ อดีตกำนันตำบลด่านช้าง จึงเป็นแกนนำสำคัญร่วมกับ พ่อค้า ประชาชนในอำเภอด่านช้าง บริจาคเงินก่อสร้างอาคารจามแบบที่กรมการศึกษานอกโรงเรียน กำหนด โดยได้รับงบประมาณ ในการก่อสร้างและดำเนินงานจากกรมการศึกษานอกโรงเรียน จำนวน 500,000 บาท (ห้าแสนบาท ถ้วน) สมทบกับเงินบริจาค จากนายดิน จันทร์สุวรรณ จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) รวมกับผู้มีจิตศรัทธาท่านอื่น ๆ อีก รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 6,500,000 บาท (หกล้านห้าแสนบาทถ้วน) ส่วนที่ดินในการก่อสร้างนั้นได้รับการสนับสนุนจากองค์การ บริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี อนุญาตให้ก่อสร้าง ณ บรเวณที่ตั้งศูนย์ราชการของอำเภอด่านช้าง จำนวน 1 ไร่ 1 งาน โดยเริ่ม ดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2538 เป็นต้นมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทาน พระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าทูลละออง พระบาท เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายแผ่นศิลาฤกษ์เพื่อทรงเจิมสำหรับนำไปก่อสร้างในวันที่ 30 พฤษภาคม 2539 เวลา 15.00 น. ณ ศาลาดุสิตาลัย สวนจิตรลดา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายประเสริฐ เปลี่ยนรังษี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นประธาน ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2539 นายมงคล ค่อยประเสริฐ     ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัด สุพรรณบุรี เป็นเลขานุการดำเนินการ นายสมพิศ มงคล ผู้อำนวยการศูนย์บริการ การศึกษานอกโรงเรียนอำเภอด่านช้างเป็น ผู้ช่วย เลขานุการดำเนินการ

งบประมาณ

1. ได้รับงบประมาณในการก่อสร้างและดำเนินงานจากกรมการศึกษานอกโรงเรียน จำนวน 500,000 บาท 2. เงินบริจาคจาก นายดิน จันทร์สุวรรณ จำนวน 5,000,000 บาท 3. ผู้มีจิตศรัทธา จำนวน 1,000,000 บาท รวมทั้งสิ้น 6,500,000 บาท